ไม่มีใครไม่รู้จัก จักรพรรดิปูยี และชะตากรรมอันแสนพิศดารของเขา แต่น้อยคนจะรู้จัก พ่อและแม่ ของเขา รวมไปถึงชะตาชีวิตที่พลิกผันไม่แพ้กัน
โดย : สมชาย แซ่จิว / Somchai Saejiu | https://www.facebook.com/somchaisaejiu/
ปี 1901 องค์ชายหนุ่มพระชนมายุเพียง 18 ชันษา ข้ามน้ำข้ามทะเลไปที่เยอรมันในฐานะตัวแทนราชวงศ์ไปร่วมในพิธีศพของบารอน ฟอน เคทเทเลอร์ Baron von Ketteler (ทูตที่ถูกสังหารในเหตุการณ์กบฎนักมวย) ณ ที่นั่น เขานำศักดิ์ศรีและความภาคภูมิใจกลับมาให้ราชสำนักต้าชิง ด้วยการไม่ยินยอมคุกเข่าให้กับพระเจ้าไกเซอร์ตามธรรมเนียม
ข่าวนี้ทำให้พระนางซูสีไทเฮา ทรงโปรดปรานองค์ชายผู้นี้เป็นอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกันก็เริ่มวิตกกังวลว่า การได้ออกไปเห็นโลกกว้างขององค์ชายผู้นี้ จะทำให้เขานำเอาความคิดที่ไม่ดีกลับมาด้วย ดังนั้นเมื่อองค์ชายผู้นี้กลับมาถึงแผ่นดินจีนไม่นาน พระนางซูสีไทเฮาก็จับองค์ชายผู้นี้อภิเษกทันที
ซูสีไทเฮา เลือกเจ้าสาวให้เขาด้วยพระองค์เอง หญิงสาวที่ทรงเลือกคือ บุตรีของหรงลู่ 荣禄 ขุนนางคู่พระทัย สหายเก่าแก่ของซูสีไทเฮา และยังมีศักดิ์เป็นถึง บุตรีบุญธรรมของพระนางซูสีไทเฮาอีกด้วย
องค์ชายหนุ่มผู้นั้น พระนาม ไจ้เฟิง 载沣 ฉุนชินหวัง 醇亲王 ลำดับที่สอง ส่วนสาวเจ้า คือ กวาเอ่อเจีย โย่วหลาน 瓜尔佳·幼兰 ผู้ต่อมาจะให้กำเนิดปูยี
**((( ฉุนชินหวัง (จีน: 醇親王; พินอิน: chún qīnwáng) หรือ ฉุนจิ้นอ๋อง เป็นพระอิสริยยศของอ๋องชั้นเอก ))
ไจ้เฟิง มีศักดิ์เป็นพระอนุชาต่างมารดาของกวงซวี่ฮ่องเต้ เมื่อกวงซวี่ฮ่องเต้สวรรคตกระทันหัน วันต่อมาพระนางซูสีไทเฮาก่อนจะสิ้นพระชนม์ตามไป ได้เลือกให้ ปูยี องค์ชายน้อยวัยเพียง 3 ขวบ โอรสขององค์ชายไจ้เฟิง เถลิงถวัลยราชสมบัติขึ้นเป็นฮ่องเต้ลำดับที่ 12 ของราชวงศ์ชิง และในขณะเดียวกัน องค์ชายไจ้เฟิง ก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ หรือเรียกว่า เส้อเจิ้งหวัง 摄政王
นับตั้งแต่ปี 1909 – 1911 โดยพฤตินัยถือเป็นสามปีที่องค์ชายไจ้เฟิงมีอำนาจสูงสุดเหนือแผ่นดินมังกร
สิ่งแรกที่ไจ้เฟิงอยากกระทำมากที่สุดเมื่อได้อำนาจคือ กำจัดหยวนซื่อข่าย 袁世凯 เขาชิงชังหยวนซื่อข่าย เพราะเชื่อว่าเป็นคนทรยศพระเชษฐาของเขา(กวงซวี่ฮ่องเต้) ในคราวปฏิรูปร้อยวันจนทำให้กวงซวี่ถูกซูสีไทเฮาควบคุมตัวตลอดพระชนม์ชีพ และไจ้เฟิงยังสงสัยว่าหยวนซื่อข่ายอาจมีส่วนในการสวรรคตของกวงซวี่ฮ่องเต้
จิ้งจอกเฒ่า อย่าง หยวนซื่อข่าย มีหรือ จะอ่านหมากตานี้ไม่ออก เขาจึงอาศัยข้ออ้างว่าป่วย ลาออกจากราชการในทุกตำแหน่ง เร้นกายคุมเชิงรอจังหวะ …..
เวลานั้น ราชวงศ์ชิงอาการเกินเยียวยา มีแต่รอเวลาล่มสลาย กระแสปฏิวัติที่ ซุนยัตเซ็น กรุยทาง ก็แพร่สะพัด กองกำลังเป่ยหยางก็อยู่ในมือของหยวนซื่อข่าย ลำพังองค์ชายไจ้เฟิงผู้เดียวมีหรือจะฝืนกงล้อประวัติศาสตร์ได้
จะว่าไปแล้ว องค์ชายไจ้เฟิงแม้มีอำนาจล้นฟ้าแต่เขาไม่ได้ใช้อำนาจอย่างคนลุ่มหลง …
ปี 1910 วังจิงเว่ย 汪精卫 ผู้ที่ถือตัวเองเป็นศิษย์ซุนยัตเซ็น (ต่อมาเขาจะยอมเป็นผู้นำหุ่นเชิดให้รัฐบาลญี่ปุ่น) วางแผนลอบสังหาร ไจ้เฟิง เขาและเพื่อนลอบติดตามดูพฤติกรรมไจ้เฟิง จนมั่นใจว่า ไจ้เฟิงจะต้องเดินทางผ่านถนนกู่โหลวต้าเจียทุกวัน จึงวางแผนจะวางระเบิดที่นั่น แต่เดชะบุญ วันลงมือ ถนนกู่โหลวต้าเจีย ปิดซ่อม ไจ้เฟิงไม่ใช้เส้นทางนั้น แผนเป็นอันล้มเหลว ต่อมาวังจิงเว่ยเปลี่ยนไปวางระเบิดที่ใต้สะพานกานสุ่ยเฉียว คราวนี้แผนแตก เขาและเพื่อนถูกจับตัวได้ โทษนี้ใหญ่หลวงนัก แต่วังจิงเว่ยติดคุกอยู่เพียงปีเดียว ไจ้เฟิงก็ปล่อยตัวเขาออกมา
ไจ้เฟิง อาจจะรู้ก็ได้ว่า การฆ่าวังจิงเว่ย จะทำให้วังจิงเว่ยกลายเป็นวีรบุรุษผู้พลีชีพ และจะจุดชนวนโกรธแค้นให้ฝ่ายปฏิวัติใช้เป็นข้ออ้างลุกฮือ ไจ้เฟิงจึงเลือกใช้สันติวิธีปล่อยตัววังจิงเหว่ยไป แต่ถึงจะอย่างไร จุดจบของราชวงศ์ชิง ก็หนีไม่พ้น เกิดเหตุการณ์ลุกฮือที่อู่ชาง และกลายเป็นไฟลามทุ่ง เผาผลาญจนราชวงศ์ชิงใกล้ล่มสลาย ต้าชิงย่อยยับในขณะที่ ไจ้เฟิงป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เขาถูกเหล่าราชสกุลวงศ์ตราหน้าว่า “อ่อนแอไร้น้ำยา” แต่คนผู้นี้นี่แหละ ที่นำพาราชสกุลวงศ์พ้นภัยมาได้ในเวลาต่อมา
วันที่ 10 ตุลาคม ค.ศ. 1911 การปฏิวัติอู่ชางปะทุขึ้น
แต่ละมณฑลทางภาคใต้ของจีนค่อยๆ ทยอยกันประกาศตัวเป็นเอกราช ไม่ขึ้นกับราชสำนักต้าชิง นี่ถือว่าเป็นกบฎ ราชสำนักมีแต่ต้องส่งกองกำลังไปปราบ แต่ กองกำลังเป่ยหยาง ที่มีอยู่ แม่ทัพนายกองล้วนเป็นคนของหยวนซื่อข่าย
ไม่มีหยวนซื่อข่าย ก็ไม่มีใครสั่งเป่ยหยางได้ !!!
องค์ชายไจ้เฟิงถูกบีบ ให้ต้องอดทนข่มกลั้นความแค้นส่วนตัว ยอมเรียกให้หยวนซื่อข่ายกลับมารับราชการอีกครั้ง องค์ชายไจ้เฟิง ทรงประกาศราชโองการแต่งตั้ง หยวนซื่อข่ายเป็น ข้าหลวงสองมณฑล แต่หยวนซื่อข่ายอิดออดไม่ขอรับตำแหน่ง ( แท้จริงแล้ว จิ้งจอกเฒ่า อย่างหยวนซื่อข่าย เล็งผลเลิศกว่านั้น ถ้าไม่ได้กุมอำนาจเบ็ดเสร็จ เขาก็ไม่ยอมรับข้อเสนอ ) ที่สุดไจ้เฟิงก็ต้องตกลงแต่งตั้งให้ หยวนซื่อข่าย เป็นนายกรัฐมนตรี ยุบคณะรัฐมนตรีที่มาจากเชื้อพระวงศ์ แล้วปล่อยให้หยวนซื่อข่ายตั้งคณะรัฐมนตรีของตัวเอง …
ถึงตรงนี้ หยวนซื่อข่าย ก็มีอำนาจสูงสุด ในขณะเดียวกัน อำนาจก็ไหลหลุดมือจากองค์ชายไจ้เฟิง เขายินยอมลาออกจากตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ทิ้งให้ยุวกษัตริย์ปูยีอยู่ในการดูแลของ พระนางหลงอวี้ไทเฮา แล้วได้แต่หวังให้หยวนซื่อข่ายนำกองทัพเป่ยหยางปราบกบฎขับไล่คณะปฏิวัติ กอบกู้ราชวงศ์ชิงขึ้นมาอีกครั้ง
ทว่า หยวนซื่อข่าย กลับทรยศฮ่องเต้ปูยี เหมือนที่เขาเคยทรยศต่อฮ่องเต้กวงซวี่มาก่อนหน้านั่นเอง หยวนซื่อ ส่งคนไปเจรจาต่อรองกับฝ่ายปฏิวัติของซุนยัตเซ็น ที่สุด หยวนซื่อข่ายก็สร้างสถานการณ์วาดภาพความกลัวจนพระนางหลงอวี้ยอมตามคำแนะนำของหยวนซื่อข่าย “ให้ฮ่องเต้สละราชสมบัติ”
12 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1912 จักรพรรดิเซวียนถ่ง ปูยี
ทรงประกาศสละราชสมบัติ ปิดฉากราชวงศ์ชิง
ตั้งแต่ จักรพรรดิปูยี สละราชย์ ในวังฉุนชินอ๋อง ขององค์ชายไจ้เฟิง ก็แตกความคิดเป็นสองฝ่าย ไจ้เฟิงและโอรสธิดา ต่างรังเกียจหยวนซื่อข่ายเข้ากระดูกดำ แต่พระชายาเอก กวาเอ่อเจีย โย่วหลาน กลับถือหางหยวนซื่อข่าย
โย่วหลาน หรือมีชื่อเล่นว่า ปานิว 八妞 นั้นกล่าวกับคนอื่นๆ ว่า
“ถ้าจะโทษก็ต้องโทษเจ้าซุนเหวิน(ซุนยัตเซ็น)นั่นที่ทำให้ราชวงศ์ชิงต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้”
ปานิว เป็นถึงลูกบุญธรรมซูสีไทเฮา เป็นลูกสาวหรงลู่ นางมีความมั่นใจในตัวเอง และด้วยความเชื่อมั่นในตัวหยวนซื่อข่าย นั่นเป็นเพราะ หนึ่ง หยวนซื่อข่ายเคยเป็นนายทหารที่หรงลู่พ่อของนางวางใจ สอง โย่วหลานยังเชื่อว่าหยวนซื่อข่ายจะกอบกู้ราชวงศ์ชิง และว่ากันว่า ปานิว ใช้จ่ายเงินทองไปจำนวนหนึ่งในการเดินเรื่องขอให้หยวนซื่อข่ายช่วยให้ปูยีกลับขึ้นครองบัลลังก์
แต่แล้วก็เหมือนถูกตบหน้าฉาดใหญ่ เมื่อปรากฎว่า หยวนซื่อข่ายไม่เพียงไม่ช่วย จักรพรรดิปูยี แต่กลับจะเป็นฮ่องเต้ เสียเอง!
ปานิว หรือ โย่วหลาน ชายาเอกฉุนชินหวัง พระมารดาของปูยี ทั้งเสียใจและเสียหน้า นางสั่งคนใช้ ให้เตรียมสุราและฝิ่นดิบ จากนั้นก็อาบน้ำแต่งตัว แล้วหลบเข้าไปในห้องเพียงลำพัง คนรับใช้เห็นผิดสังเกต จึงรีบไปรายงานองค์ชายไจ้เฟิง องค์ชายไจ้เฟิงรีบมาหาโย่วหลานและเกลี้ยกล่อมปลอบประโลมจนนางล้มเลิกความตั้งใจที่จะฆ่าตัวตาย นี่เป็นครั้งที่หนึ่งที่ กวาเอ่อเจีย โย่วหลาน พยายามจะฆ่าตัวตาย !!
ย่ำรุ่งวันที่ 1 กรกฎาคม ปี 1917
จางซวิน 张勋 ขุนศึกผมเปีย ฟื้นฟูราชวงศ์ชิง นำปูยีขึ้นนั่งบัลลังก์เป็นครั้งที่สอง งานนี้ องค์ชายไจ้เฟิงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย แต่ก็จุดประกายความหวังให้กับ พระชายาเอกโย่วหลาน อีกครั้ง นางเริ่มติดต่อกับเหล่าขุนศึกใหม่ แต่โชคร้าย การฟื้นฟูระบอบราชาธิปไตยของจางซวิน มวลชนไม่เอาด้วย
ราชบัลลังก์ครั้งที่สองของ จักรพรรดิปูยี มีอายุแสนสั้นเพียง 12 วัน ทรงประกาศสละราชสมบัติอีกครั้งในวันที่ 12 กรกฎาคม ปีนั้นเอง
แม้จางซวิน แพ้ย่อยยับ แต่โย่วหลานมารดาปูยี กลับยังมีความหวัง คราวนี้นางร่วมมือกับ พระนางตวนคังไท่เฟย 端康太妃 (เดิมคือ จิ่นเฟย 瑾妃 พี่สาวของเจินเฟย 珍妃 ที่ถูกพระนางซูสีไทเฮาสั่งให้โยนทิ้งลงบ่อน้ำ) ในพระราชวังต้องห้ามยามนี้ เมื่อพระนางหลงอวี้ไทเฮาสิ้นพระชนม์ ก็มีเพียงพระนางตวนคังไท่เฟยมีอำนาจสูงสุด พระนางยึดเอาพระนางซูสีไทเฮาเป็นต้นแบบ จึงพยายามควบคุมปูยี เหมือนซูสีไทเฮาควบคุมกวงซวี่ พระนางต้องการให้ปูยีขึ้นครองแผ่นดิน เพื่อพระนางจะได้เป็นหงส์เหนือมังกรคนที่สอง
พระนางตวนคัง ไม่ค่อยรู้จักมักคุ้นพวกขุนศึก จึงอาศัยให้โย่วหลานนำทรัพย์สินเงินทองในวังหลวง ไปซื้อใจพวกขุนศึกบางคนเพื่อให้ช่วยฟื้นฟูราชวงศ์ชิง …. แต่แล้ว พวกนางก็ถูกขุนศึกหักหลัง รับเงินแล้วหายสูญ พระนางตวนคังรู้สึกเจ็บแค้นแล้วพาลโทษโย่วหลาน หาว่านางยักยอกเงินของพระนาง นี่ทำให้สัมพันธ์ระหว่างสตรีสูงศักดิ์ทั้งสองเริ่มสั่นคลอน
สัมพันธภาพของพระนางตวนคังกับปูยีเอง ก็ไม่ดีนัก ปูยีนั้นยิ่งโตเป็นหนุ่ม และยิ่งนิยมความเป็นตะวันตกด้วยแล้ว ทำให้พระนางตวนคังไม่พอพระทัยนัก ทั้งคู่มักมีปากเสียงกันเสมอ จนวันหนึ่งเมื่อพระนางตวนคังสั่งปลดหมอหลวงผู้หนึ่ง แล้วขับไล่ออกจากพระราชวังต้องห้าม
จักรพรรดิปูยี รู้สึกไม่พอพระทัย ทรงเสด็จมาถึงวังย่งเหอกง 永和宫 ที่ประทับของพระนางตวนคังเพื่อไถ่ถามความเป็นมา ปูยีถึงกับกล่าวต่อหน้าพระนางตวนคังว่า
“ท่านสั่งปลดผู้คน ไม่รายงานข้าสักคำ ข้ายังเป็นฮ่องเต้ในสายตาท่านอยู่หรือ ? ”
ตรัสเสร็จก็ออกจากวังไป ทิ้งพระนางตวนคังอยู่กับความเจ็บแค้น
วันที่ 30 กันยายน ค.ศ. 1921 พระนางตวนคังสั่งให้หาตัวโย่วหลานและย่าของปูยี (พระมารดาขององค์ชายไจ้เฟิง) มาเข้าเฝ้า แล้วตำหนิทั้งสองอย่างรุนแรงว่า เลี้ยงปูยีมาไม่ดีจึงเติบใหญ่มาเป็นคนเยี่ยงนี้
โย่วหลานกลับวังฉุนชินหวัง ด้วยความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจที่ถูกหยามเกียรติ ด่าว่าให้อับอาย นางคับแค้นใจที่ถูกหาว่าเลี้ยงลูกไม่ดี ทั้งที่แท้จริงแล้ว เป็นวังหลวงต่างหากที่พรากลูกนางไปตั้งแต่ปูยีอายุเพียง 3 ขวบ กว่าจะได้เจอหน้าแม่ลูกอีกครั้งก็ตอนที่ปูยีโตอายุ 11 ปีแล้ว มิหนำซ้ำยังได้พบปะเพียงปีละ 2-3 ครั้งเท่านั้น จะให้นางเลี้ยงลูก อบรมลูกอันใดเล่า?
ยิ่งคิดยิ่งแค้นใจ คนๆ หนึ่งเคยเป็นถึงบุตรีบุญธรรมของพระนางซูสีไทเฮาผู้ยิ่งใหญ่คับฟ้าคับดิน มาวันนี้กลายเป็นเหมือนหญิงโง่ ไร้ค่า ถูกขุนศึกหลอกเงินทอง ถูกผู้คนด่าว่า ความปรารถนาจะให้ลูกชายได้บัลลังก์คืนก็พังครืนไม่มีหวัง …..
กวาเอ่อเจียโย่วหลานจึงกลืนยาฝิ่นฆ่าตัวตาย
จบชีวิตตัวเองด้วยวัยเพียง 38 ปี
โพสต้นฉบับ
ตอนที่ 1 https://www.facebook.com/somchaisaejiu/posts/2066317547022493
ตอนที่ 2 https://www.facebook.com/somchaisaejiu/posts/2067613860226195
ไจ้เฟิง
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%84%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%9F%E0%B8%B4%E0%B8%87