สารคดีชิ้นนี้ ได้นำเอาข้อเท็จจริง ที่หักล้างกับข้อมูลที่เราได้ยินมาโดยตลอดว่า “แผ่นดินปาเลสไตน์ ที่ชาวยิวอพยพเข้าไปสร้างประเทศอิสราเอลนั้น เดิมเป็นที่ทะเลทรายรกร้างว่างเปล่าไร้ผู้คนอาศัยอยู่”
บทความโดย : นัทแนะ | กัปตันนัท-ธราพงษ์ รุ่งโรจน์
เมื่อสองสามวันก่อน ผมได้ชมสารคดีเรื่อง “ปาเลสไตน์ในปี 1920” ของช่องอัลจาซีร่า ตามคำแนะนำของเพื่อนท่านหนึ่ง โดยสารคดีชิ้นนี้ ได้นำเอาข้อเท็จจริง ที่สามารถหักล้างกับข้อมูลที่เราได้ยินมาโดยตลอดว่า “แผ่นดินปาเลสไตน์ ที่ชาวยิวอพยพเข้าไปสร้างประเทศอิสราเอลนั้น เดิมเป็นที่ทะเลทรายรกร้างว่างเปล่าไร้ผู้คนอาศัยอยู่” … เพราะอัลจาซีรานำเอาภาพวิดีโอ ภาพถ่ายทางประวัติศาสตร์ และบทสัมภาษณ์มาให้เราได้ทราบว่า
“…ปาเลสไตน์นั้น เป็นแผ่นดินมีเมืองขนาดใหญ่ เป็นศูนย์กลางการค้า มีทางรถไฟ ผู้คนอาศัยอยู่หลายแสนคนมาเนิ่นนานแล้ว …!!??
และ …การที่อังกฤษให้ชาวยิวอพยพเข้าไปตั้งรกรากในปาเลสไตน์ นั้น จึงเป็น “การรุกราน” และขับไล่ผู้อยู่อาศัยเดิม … มิใช่การเข้าไปอย่าง “สันติ” ตามที่สื่อยิว และสื่อของฝั่งโลกตะวันตก พยายามใส่ข้อมูลผิดๆให้กับชาวโลกมาโดยตลอด …
อันเป็นเหตุผลว่า ทำไมอิสราเอลจึงถูกชาวปาเลสไตน์ และชาติอาหรับอื่นๆต่อต้านจนปัจจุบัน …
หลังจากดูสารคดี “ปาเลสไตน์ในปี 1920” จบ ผมจึงไปหาข้อมูลเพิ่มเติม และก็ได้ชมสารคดีของเยอรมันช่อง DW ชื่อว่า “Israel – Birth of a state” จึงขอนำมาย่อและเรียบเรียงให้ได้อ่านกันดังนี้ครับ ….
- เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 ยุติลง “จักรวรรดิออตโตมัน” ที่ยิ่งใหญ่ ก็ได้ล่มสลายลง…
ความสำคัญของจักรวรรดิออตโตมัน ในเรื่องนี้ ก็คือ ดินแดนออตโต มันนั้นกว้างใหญ่ไพศาล และครอบคลุมไปถึงแผ่นดิน ที่เราเรียกกันในปัจจุบันว่า “ตะวันออกกลาง” ซึ่งรวมถึง ปาเลสไตน์ ด้วยครับ … เมื่อออตโตมัน ล่มสลาย อังกฤษกับฝรั่งเศส ได้เข้ามาร่วมกัน ขีดเส้นบนแผนที่ เพื่อแบ่งดินแดนออตโตมันเดิม โดย ฝั่งที่ฝรั่งเศสครอบครองเรียกว่า “French mandate” ฝั่งอังกฤษครอบครองเรียกว่า “British mandate” … ในเบื้องแรกนั้น อังกฤษไม่ได้มีส่วนในดินแดนปาเลสไตน์ แต่ภายหลังสันนิบาตชาติ (League of Nations – ชื่อเดิมของ องค์กรสหประชาชาติ ) ก็มีข้อตกลงให้ปาเลสไตน์อยู่ภายใต้อาณัติอังกฤษ …[ ขอแนะนำ ณ จุดนี้ สักนิดว่า…. นี่คือ แนวความคิดที่อยู่ในยุคการล่าอาณานิคมครับ เมื่ออำนาจเก่าคือ ออตโตมัน หมดไป อำนาจใหม่ คือ อังกฤษก็เข้ามาแทนที่ …. ทั้งหมดนี้ ทำเพื่อให้เจ้าอาณานิคมตักตวงทรัพยากร มิใช่ทำเพื่อปลดปล่อยใคร หรือสร้างสันติสุขให้ใคร … ] และ …นี่คือ ช่วงเวลาประมาณปี ค.ศ.1890 สรุป คือ ดินแดนปาเลสไตน์อยู่ภายใต้อาณัติของอังกฤษ - ในยุคปี ค.ศ. 1890 ชาวยิวนั้น กระจัดกระจายเร่ร่อนไปทั่วยุโรป
… และก่อให้เกิดกระแส “รังเกียจยิว” ไปทั่วยุโรป เช่นกัน จนกระทั่ง มีชาวยิว ผู้หนึ่งชื่อ “ทีโอดอร์ เฮอเซิล – Theodore Herzl” ตีพิมพ์หนังสือชื่อ “รัฐยิว – The Jewish State” ออกมา … โดยหนังสือเล่มนี้ ได้แพร่หลายกระจายออกไปในหมู่ชาวยิวและผู้คนที่สนับสนุนชาวยิว เรียกได้ว่า แนวคิดนี้เป็นตัวกระตุ้นหลักเลยก็ว่าได้ ก่อให้เกิดความคิดของชาวยิวที่จะมีประเทศของตัวเอง … ตัวแทนชาวยิว ได้รวมตัวจัดประชุมขึ้นอยู่หลายปี และหนึ่งในหลายหัวข้อที่เขาคุยกัน ก็คือ “เราจะเลือกที่ใดเป็นที่ตั้งของรัฐยิว ?…. ” ซึ่งที่ประชุมเขาชูตัวเลือกกันขึ้นมา 3 แห่ง คือ ปาเลสไตน์, อูกันดา และอาเจนตินา ( ผมฟังแล้วก็แปลกใจว่า อยู่ดีๆนึกอยากจะเลือกที่ไหนก็คิดกันขึ้นอย่างนี้น่ะหรือ ? ) … ท้ายที่สุดของการประชุม หวยไปออกที่ ปาเลสไตน์ ก็เพราะชาวยิวอ้างว่าเป็นดินแดนแห่งพันธสัญญา …?!?!
คำว่า “ดินแดนแห่งพันธสัญญา – Promised Land” นี้ เกิดจากข้อความที่ถูกเขียนไว้ในไบเบิ้ลว่า
“ดินแดนที่พระเจ้าสัญญาว่าจะมอบให้ชาวยิวนั้น อยู่ทางตะวันตกของเมโสโปเตเมีย (อิรักในปัจจุบัน) เรียกว่า “คานาอัน” ทุกวันนี้ดินแดนนั้นรู้จักกันในนามว่า “ปาเลสไตน์”และ…. อย่างที่เรารู้กันแล้วว่า “ปาเลสไตน์” ในขณะเวลานั้น อยู่ภายใต้อาณัติการปกครองของอังกฤษ และด้วยความสัมพันธ์ที่ดี ระหว่างเศรษฐียิว ตระกูลดังชื่อ “รอธไชลด์ – Rothchild” (ตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ) กับรัฐบาลอังกฤษ ทำให้อังกฤษ สนับสนุนการตั้งรัฐของชาวยิวขึ้นในปาเลสไตน์
แต่ทั้งนี้ อังกฤษยังมีเงื่อนไขว่า “จะต้องไม่กระทบกระเทือนกับผู้คนชาวปาเลสไตน์ที่อาศัยอยู่เดิม”
ในเวลานั้น สื่อของฝั่งอังกฤษ และชาวยิว พยายามสร้างความชอบธรรม ในปฏิบัติการนี้ด้วยการประโคมข่าวออกไปว่า “ปาเลสไตน์นั้นเป็นดินแดนที่รกร้างเวิ้งว้างว่างเปล่า ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ จะมีก็แต่เพียงชนเผ่าเร่ร่อนอย่างพวกเบดูอิน” …
อีกประโยคที่นิยมใช้ ก็คือ
“ปาเลสไตน์เป็น ….แผ่นดินที่ไร้ผู้คนสำหรับผู้คนที่ไร้แผ่นดิน – A land without people for a people without a land….”
ฟังดูซาบซึ้งตรึงใจ ….. แต่นี่ คือคำโกหก ที่ยิ่งใหญ่คำหนึ่งในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ !!!
- เพราะในเวลานั้น แผ่นดินปาเลสไตน์ มีผู้คนอาศัยอยู่ถึง 7 แสนคน
- เป็นที่ตั้งของเมืองท่าใหญ่ๆอยู่ 3 แห่งเชื่อมต่อถึงกันด้วยทางรถไฟ
- เป็นหนึ่งในศูนย์กลางการค้าขายระหว่างยุโรปและเอเชีย …
- ผู้คน 90% เป็นชาวอาหรับ อีก 10% เป็นชาวยิว ผู้คนทั้งสองกลุ่มนี้เดิมอยู่อาศัยด้วยกัน เป็นเพื่อนกัน อยู่กันได้อย่างสงบสุข
แต่ … เมื่ออังกฤษ เริ่มอนุญาตให้ชาวยิวจากยุโรป หลั่งไหลเข้ามาในปาเลสไตน์ได้ ชาวยิวใหม่ ก็เริ่มเข้ามากว้านซื้อที่ดิน โดยใช้เงินของยิวที่ส่งมาจากยุโรป และเริ่มพูดให้แพร่กระจายออกไปว่า …
“เราจะมาตั้งประเทศของชาวยิวกันที่นี่”..
ความคิดของยิวอพยพ นั้น ไม่ได้ตั้งใจจะมาอยู่ร่วมกับชาวอาหรับ (Arab-Jew state) แต่ ….จะมาตั้งประเทศใหม่ที่เป็นยิว (Jew State only) เท่านั้น …
ชาวอาหรับในปาเลสไตน์ จึงเริ่มต่อต้าน มีการปะทะฆ่ากันตายหลายครั้ง ผู้คนล้มตายทั้งชาวอาหรับ และชาวยิว … อันนี้ผมเข้าใจชาวปาเลสไตน์นะครับ เพราะอยู่ดีๆถ้าเกิดมีชาวต่างประเทศกลุ่มหนึ่งเข้ามาจับจองซื้อที่ดินในประเทศไทย แล้วประกาศว่า “ฉันจะมาตั้งประเทศใหม่ขึ้นตรงนี้แหละ” เชื่อขนมกินได้เลยว่า ต้องมีจะบู๊กันแน่นอน !!!
เมื่ออังกฤษเห็นท่าไม่ดี จึงเริ่มจำกัดจำนวนชาวยิว ที่จะเข้ามาอยู่ในปาเลสไตน์ เรือชาวยิวอพยพบางลำ ถูกผลักดันไม่ยอมให้เทียบท่า …
อังกฤษ เริ่มเข้ามามีส่วน ในการจัดการปัญหานี้ โดยเริ่มแบ่งแยกผู้คนออกเป็น 2 กลุ่ม คือ พวกอาหรับ กับ พวกยิว
พฤติการณ์ของอังกฤษตรงนี้ เอกอัครราชทูตปาเลสไตน์ประจำยูเนสโก้ ได้กล่าวว่า
…. “มันเป็นไปตามหลักการที่ว่า … หากเราสามารถ (สร้างเงื่อนไขที่) ทำให้มั่นใจว่า คนเหล่านี้ทะเลาะกันได้ เราจะตั้งตน เป็นผู้ตัดสินในเกมส์นี้ได้ตลอดไป… ” “It followed the principle. If we make sure they are fighting each other, we can referee this game forever.”
ดังนี้ ก็เหมือนกันกับที่อังกฤษสร้างเงื่อนไขระหว่างอินเดียกับปากีสถานไว้ เมื่อครั้งอังกฤษลากเส้นแบ่งสองประเทศนี้ ก่อนที่จะให้อิสรภาพ …. –> ทุกวันนี้ทั้งอินเดียและปากีสถานยังคง “เกลียดกัน” ทั้งๆที่เคยอยู่ร่วมกันกลมกลืน เป็นแผ่นดินเดียวกันได้หลายร้อยปีก่อนที่อังกฤษจะเข้ามา ….
- เมื่อถึงปี ค.ศ. 1935 ชุมชนชาวยิวในปาเลสไตน์เริ่มเติบใหญ่ขึ้นเรื่อยๆประชากรชาวยิว เพิ่มจำนวนจากเดิม 70,000 คน มาเป็น 150,000 คน แม้จะยังไม่ได้ก่อตั้งเป็นรัฐอิสราเอล หรือเป็นประเทศ ชุมชนชาวยิวก็ได้เลือกผู้นำคนแรกขึ้นมาคือ “เดวิด เบนกูเรียน” และมีการจัดตั้ง กองกำลังทหารเล็กๆ ของตัวเองขึ้นมา ซึ่งผิดไปจากกฎที่อังกฤษตั้งไว้ ….แต่ ทว่า… อังกฤษก็ไม่ได้ลงมือทำอะไร ….?!
- มาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญ คือ การก่อตัวของสงครามโลกครั้งที่สอง ….พรรคนาซีเยอรมัน ของฮิตเลอร์ เริ่มปฎิบัติการกระทำรุนแรงต่อชาวยิว แต่ก็ยัง แอบเปิดช่องให้ชาวยิวหนีออกจากเยอรมันได้ โดยมีเงื่อนไขว่าชาวยิว จะต้องทิ้งทรัพย์สมบัติไว้ในเยอรมัน ชาวยิวในเยอรมัน จึงเริ่มอพยพ มายังปาเลสไตน์มากขึ้น ….
โดย ในปี ค.ศ. 1939 ฮิตเลอร์เริ่มฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว อย่างเป็นระบบ ชาวยิวในยุโรปจีงหนีกระจัดกระจายไปทั่ว จำนวนหนึ่งขึ้นเรืออพยพมายัง ประเทศอเมริกา และอังกฤษ …. - อเมริกาและอังกฤษ “ปฏิเสธการรับผู้อพยพชาวยิว”
ประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้ว่า… เรือผู้อพยพชาวยิวเหล่านี้ต้องระหกระเหเร่ร่อนไปทั่ว เพราะชาติยุโรปทั้งหลาย รวมทั้งอเมริกาและอังกฤษ “ปฏิเสธการรับผู้อพยพชาวยิว” ชาวยิวเหล่านี้ จึงไม่มีที่ไป และเริ่มเดินทางเข้ามาปาเลสไตน์มากขึ้นโดยผิดกฎหมาย - เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง
จึงได้มีการเสนอมติในที่ประชุมสหประชาชาติ เพื่อขอให้ตัวแทนชาติต่างๆ ออกเสียงโหวต ในการแบ่งปาเลสไตน์ออกเป็น 2 ประเทศ คือ อิสราเอล กับ ปาเลสไตน์ ในวันที่ 29 พฤศจิกายน ค.ศ.1947 โดยผลคะแนนโหวต คือ เห็นด้วยกับการตั้งรัฐอิสราเอล 33 ประเทศ ไม่เห็นด้วย 13 ประเทศ และงดออกเสียง 10 ประเทศ ในเรื่องการโหวต นี้ สารคดีเยอรมัน เขาได้ไปสัมภาษณ์นักประวัติศาสตร์ทั้งชาวอิสราเอลกับชาวปาเลสไตน์ พอจะสรุปถึงเหตุผลที่ยิวชนะโหวต ในสหประชาชาติได้ 2 ข้อ คือหนึ่ง...ภาพลักษณ์ของชาวยิวในสายตาชาวโลกในเวลานั้นคือ “เหยื่อการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของฮิตเลอร์” ดังนั้นชะตากรรมของยิว จึงเป็นที่รู้จักและได้รับ “ความสงสาร” ชาวยิวที่เหลืออยู่จึงได้ประโยชน์จากเรื่องนี้อย่างมาก
สอง…ซึ่งเป็นข้อที่สำคัญมาก คือ มีการล้อบบี้อย่างหนักหน่วงจากชาวยิวที่เป็นมหาเศรษฐีในยุโรป … อเมริกาก็เข้ามาช่วยล้อบบี้ให้ยิว โดยใช้ความเป็นผู้นำฝ่ายสัมพันธมิตรกดดันประเทศที่ยังลังเล ให้โหวตสนับสนุนตั้งรัฐอิสราเอล ส่วนฟิลิปปินส์กับไฮตินั้นยอมโหวต ให้ ก็เพราะอเมริกาสัญญาว่าจะให้เงินกู้ !! ….ในการหยั่งเสียงรอบแรก พบว่าไม่สำเร็จ… อเมริกาจึงขอเลื่อนการโวทออกไป โดยอ้างวันหยุดวันขอบคุณพระเจ้า และมาเลือกวันโหวตใหม่ เมื่อไปหาเสียงสนับสนุนมาได้เพิ่ม จนกระทั่งโหวตสำเร็จ และได้ผลตามที่ตั้งใจ.. - มติสหประชาชาติในเวลานั้น คือ
ให้แบ่งแผ่นดินปาเลสไตน์ออกเป็นสามส่วน คือ
– รัฐปาเลสไตน์
– รัฐอิสราเอล
– นครเยรูซาเล็ม ( ให้เป็นดินแดนส่วนกลางของทุกชาติ )
เราทราบกันดีว่า ทันทีที่สหประชาติประกาศมตินี้ ก็เกิดสงครามระหว่างชาติอาหรับ กับอิสราเอลขึ้นทันที ในวันรุ่งขึ้น และผลคือ อิสราเอลชนะสงครามครั้งแรกนี้ …
สารคดีชุดนี้ ทำให้เราทราบว่า การแบ่งแยกประเทศ รัฐอิสราเอล กับ ปาเลสไตน์ นี้ ไม่ได้ทำได้โดยง่ายดายแค่เพียงการ “ลากเส้น” บนแผนที่….. เพราะเมื่อแผ่นดิน ที่ชาวปาเลสไตน์เคยอยู่ มานับร้อยนับพันปี จู่ๆ มากลับกลายเป็นของชาวยิว โดยอิสราเอล …ทหารอิสราเอล จึงเริ่มขับไล่ ทำร้ายและสังหารชาวปาเลสไตน์ ที่อาศัยอยู่ตามบ้านเรือน เพื่อขับไล่ให้ออกไปจากแผ่นดินเกิดที่บัดนี้กลาย เป็นอิสราเอลไปแล้ว …. !!!
เมื่อชาวปาเลสไตน์หนีออกจากบ้าน หรืออพาร์ทเม้นท์ไป อิสราเอลก็ยึดเอามา มอบให้กับประชาชนชาวยิวที่อพยพเข้ามา ได้มาอาศัยต่อ
การฆ่าฟันทำร้ายชาวปาเลสไตน์ อย่างโหดเหี้ยมเกิดขึ้นทั่วไป เหตุการณ์เลวร้ายที่สุดเกิดขึ้นที่หมู่บ้านชื่อ “เดีย ยาซิน – Deir Yassin” ใกล้ๆนครเยรูซาเล็ม ทหารอิสราเอลสังหารหมู่ชาวบ้านปาเลสไตน์ไป 200 ศพ ภายในคืนเดียว เพื่อขับไล่และยึดที่ดินบ้านเรือน …เมื่อข่าวการสังหารหมู่ที่ เดีย ยาซิน แพร่ออกไปทั่ว ชาวปาเลสไตน์ ที่หวาดกลัวจึงทิ้งที่พักอาศัย พาครอบครัวและทรัพย์สินเท่าที่พอจะแบกกันไหว หนีออกไปจากแผ่นดินเกิดของตนเอง
สารคดีนี้ ทิ้งท้ายไว้ได้อย่างน่าเจ็บปวดว่า
ผลของการให้ตั้ง รัฐอิสราเอล ขึ้นมานี้ ทำให้ชาวปาเลสไตน์กว่า 900,000 คนต้องทิ้งถิ่นฐาน และกลายเป็นคนไร้ที่อยู่อาศัย และสหประชาชาติให้ความช่วยเหลือชาวปาเลสไตน์ เพียงเล็กน้อยเหลือเกินเมื่อเทียบกับชะตากรรมที่พวกเขาต้องเผชิญ …
นี่คือเรื่องราว ที่เป็นจุดกำเนิดของความขัดแย้ง ที่ไม่มีวันสิ้นสุดระหว่างรัฐอิสราเอล และโลกอาหรับ
ใครสนใจเชิญชมได้ที่ลิงก์นี้ครับ
Israel – Birth of a state | DW Documentary
DW Documentary
ปล. คำโกหกคำโตอีกอันหนึ่งของยิวคือ ยิวอ้างว่าเขาซื้อที่ดินเพื่อสร้างประเทศอิสราเอลมาจากปาเลสไตน์ คำพูดนี้จริงแต่เพียงนิดเดียวเท่านั้นครับ … เพราะนักประวัติศาสตร์ที่สอนในมหาวิทยาลัยเทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอล ได้บอกในสารคดีนี้ว่า
“ชาวยิวซื้อที่ดินเพียง 10% ของแผ่นดินที่เป็นประเทศอิสราเอลในทุกวันนี้”
บทความโดย : นัทแนะ | กัปตันนัท-ธราพงษ์ รุ่งโรจน์
- การสังหารหมู่ Deir Yassin: อิสราเอลทําลายหมู่บ้านชาวปาเลสไตน์
https://ihh.org.tr/en/news/the-deir-yassin-massacre-israel-ravaged-palestinian-village-814 - Hamas ฮามาส คือใคร ?
https://www.misc.today/2023/10/hamas.html - ที่มาของสงคราม รัฐอิสราเอล VS ฮามาส แบบสั้นๆ
https://www.misc.today/2023/10/Israel-Hamas.html
ยิว คือชนชาติที่ฉลาดที่สุด,ลึกลับที่สุด,ร่ำรวยที่สุด จนมีคำกล่าวว่า “หากไม่รู้จักชาวยิวก็เท่ากับไม่รู้จักโลก” ถึงขั้นที่ว่า ชาวยิวสามคนที่นั่งอยู่ด้วยกันสามารถตัดสินชะตากรรมของโลกได้ !!
หนังสือ : เครือข่ายยิวนานาชาติ | The International Jew
อุณหภูมิของความเกลียดชัง ของชาวอเมริกันผิวขาวผู้นับถือคริสต์ศาสนา ที่มีต่อชาวยิว นอกจากสาระของความขัดแย้งทางเชื้อชาติและศาสนาแล้ว ยังมีความรู้เรื่องประวัติศาสตร์ของศาสนายูดาห์ คริสต์ศาสนาและประวัติศาสตร์ สหรัฐอเมริกาและยุโรปเป็นอย่างดี