… “หอยเบี้ย” หรือ cowry เป็นสัตว์ทะเลน้ำตื้น ชนิดหอยกาบเดี่ยว อยู่ในวงศ์ Cypraeidae แหล่งอาศัยพบมากบริเวณชายฝั่งทะเลน้ำอุ่น ทั่วไป โดยเฉพาะในเขต มหาสมุทรอินเดีย มีมากในหมู่เกาะมัลดีฟ และ มหาสมุทรแปซิฟิคตะวันตก รวมถึงตะวันตกเฉียงเหนือ และ หอยเบี้ย ถูกนำมาใช้เป็น “สื่อกลาง” ในการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจ [Currency] และบริบททางความเชื่อที่เป็นเครื่องรางของขลัง ที่เรียกว่า “เบี้ยแก้”
“มนุษย์” มีความเกี่ยวข้องกับ “หอย”มาเป็นเวลาช้านานนับพันปี … พิสูจน์ได้จากการที่มีการขุดพบ ซากเปลือกหอย ที่ถูกฝังร่วมอยู่ศพในสุสาน ร่วมถึง หลักฐานทางโบราณคดีต่างๆ มากมายทั่วโลก
เปลือกหอย ที่ไม่ได้เป็นแค่ เครื่องประดับ ร่างกาย เท่านั้น แต่เปลือกของ “หอย” บางชนิด ถูกนำมาใช้เป็น “สื่อกลาง” ในการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจ ที่นอกจากเหรียญกษาปณ์ หรือเหรียญตรา ที่ชุมชนโบราณทั่วโลก ใช้สำหรับเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจ [currency] อีกด้วย สิ่งนั้น ถูกเรียกว่า …. “หอยเบี้ย” หรือ Cowries Shells … ด้วยคุณลักษณะเฉพาะ และเหตุผลที่ว่า…. ทำไม มนุษย์ จึงเลือกใช้ หอยเบี้ย อีกหน่วยหนึ่ง ของสื่อกลางแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจ นั้น ก็เพราะว่า …. รูปทรงของ “หอยเบี้ย” มีความสวยงาม หอยทุกตัวมีสม่ำเสมอ หรือเกือบจะเท่ากันทุกตัว ไม่เล็กและไม่ใหญ่จนเกินไป น้ำหนักเบา พกพาง่าย … เปลือก มีความหนา ด้านบนโป่งโค้ง และแบนในส่วนด้านล่าง ผิวเปลือกเคลือบมัน ขึ้นเงา และอาจมีสีสันต่าง ๆ ตามแต่ละชนิดสายพันธุ์ย่อยที่แยกออกไป ซึ่งมีอยู่มากกว่า ๒๐๐ ชนิด ตามและละสถานที่
…. และนี่เองคือ เปลือกหอย ที่สวยงาม เฉพาะตัว เป็นสิ่งของที่มีคุณค่าในตัวของมันเองโดยไม่ต้องเสริมเติมแต่งใดๆ ทั้งเป็นของหายาก ที่มาจากต่างถิ่นแดนไกล
หอยเบี้ย สายพันธุ์ย่อย ที่ถูกใช้งานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
สามารถจำแนกได้ทั้งหมด 2 สายพันธุ์ ได้แก่
- หอยเบี้ยจั่น ( จากมหาสมุทรอินเดีย )
- หอยเบี้ยนาง ( จากหมู่เกาะฟิลิปปินส์และเกาะบอร์เนียว)
หอยเบี้ย
จากบันทึกการเดินทาง
- มีเรื่องเล่า จากบันทึกการเดินเรือของ กษัตริย์สุไลมาน ……
ณ มหาสมุทรอินเดีย … มีหมู่เกาะหนึ่งชื่อ เกาะมัลดีฟ ในเกาะนี้ ใช้หอยเบี้ยเป็นเงินตราเพียงชนิดเดียวเท่านั้น ในบันทึกยังเล่าต่อถึง ผู้คนและความร่ำรวยของราชินีแห่งมัลดีฟ ว่า….
“เมื่อสัมบัติของราชวงศ์ เริ่มหมดลง เพียงแค่ ราชินีแห่งมัลดีฟ รับสั่งให้ผู้หญิง ตัดเอาทางมะพร้าว และขวางออกไปในทะเล เท่านี้ สัตว์ต่างๆ ก็จะเกาะ และติดมากับทางมะพร้าว ที่ค่อยๆ ลอยมาตามคลื่นสู่ชายฝัง สัตว์ก็กระจัดกระจายตามชายหาด พวกเธอจึงเก็บเปลือกหอยจนหมดหาด และนำเข้ามาเก็บในคลังของราชินี”
- จากบันทึกของ ลา ลูแบร์ ทูตชาวฝรั่งเศส ที่เดินทางเข้ามาในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ปี พ.ศ. 2230 กล่าวไว้ว่า “…ชาวยุโรปที่อยู่ในประเทศสยามเรียกเบี้ยนี้ว่า กอริ และชาวสยามเรียกว่า เบี้ย (Bia)”
- จากบันทึกของ “เต่าอี่จื้อลิ่ว” นักเดินทางของชาวจีน ที่เขียนขึ้นในปี พ.ศ. 1893 ได้กล่าวถึงสังคมในเมืองละโว้ หรือ ลพบุรี เอาไว้ว่า … “ผู้คนใช้หอยเบี้ยแทนเงินตราทั่วๆ ไป เบี้ยจำนวน 10,000 เบี้ย เทียบเท่ากับธนบัตรจงถ่ง (เงินตราราชวงศ์เหวียน ) 25 ตำลึง”
ดังนั้น สิ่งนี้เป็นเครื่องยืนยันได้ในระดับหนึ่งแล้วว่า หอยเบี้ย เปรียบเสมือนเงินตรารูปแบบหนึ่ง ในระบบเศรษฐกิจของบ้านเมืองแถบลุ่มน้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา ทั้งในเขตล้านนา และในภาคกลาง เงินพดด้วง มีหน่วยเป็นเฟื้อง – ตำลึง – บาท และ หอยเบี้ย ถือเป็นเงินตรา ที่มูลค่าน้อยที่สุดในระบบอัตราแลกเปลี่ยน
…” ในอักขราภิธาน ศรับท์ ของหมอบรัดเลย์ ซึ่งตีพิมพ์เมื่อ พ.ศ.๒๔๑๖ บันทึกไว้ว่า เบี้ยหอย จำนวน แปดร้อยตัว เป็นหนึ่งเฟื้อง ทั้งเสนอว่า คำว่า ”เบี้ย” น่าจะมาจาก”รูเปีย” ที่เป็นหน่วยการนับเงินในอินเดีย…”
….แม้ ปัจจุบัน หอยเบี้ยได้เลือนหายไปจาก ระบบเงินตราของไทย และทั่วโลกไปแล้ว
… แต่ คำว่า “เบี้ย” ในภาษาไทย ยังคงอยู่ ….
เบี้ย … ยังคงสื่อความหมายถึง เงินตรา เช่น เบี้ยเลี้ยง , เบี้ยประชุม , เบี้ยหวัด เบี้ยกันดาร , เบี้ยประกัน, ดอกเบี้ย รวมถึงสำนวนไทยที่ว่า
- เบี้ยน้อยหอยน้อย หมายถึง การมีเงินน้อย
- เบี้ยต่อไส้ หมายถึง เงินที่หามาได้พอเลี้ยงชีพทีละเล็กละน้อย พอประทังชีวิตในระยะเวลาหนึ่ง ,
- เบี้ยบ้ายรายทาง หมายถึง เงินที่ต้องจ่ายให้ผู้มี่เกี่ยวข้อง เพื่อช่วยให้ธุรกิจหรือการอย่างใดอย่างหนึ่ง ดำเนินได้สำเร็จราบรื่น
- เบี้ยหัวแตก (หัวแหลก) หมายถึง เงินที่ได้มาทีละน้อยๆและใช้จ่ายไปโดยไม่เหลือเก็บ หรือไม่ได้อะไรมาที่เป็นชิ้นเป็นอัน
- เก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน หมายถึง เก็บออมเงินที่ได้มา ทีละเล็กๆน้อยๆ
- ขายหน้าวันละห้าเบี้ย หมายถึง ทำให้ต้องอับอายอยู่ทุกวัน
- สิบเบี้ยใกล้มือ หมายถึง เงินหรือของเล็กๆน้อยๆ ที่ดูเหมือนไม่มีค่ามากมาย แต่เห็นว่าได้แน่ๆ ให้รีบเก็บเอาไว้ก่อน
หอยเบี้ย
ใน บริบทเรื่องความเชื่อ
เครื่องรางของขลัง “เบี้ยแก้”
พบหลักฐานทางโบราณคดี จากกรุวัดราชบูรณะ พบหอยเบี้ยหุ้มทองคำสำหรับห้อยคอ ที่เรียกว่า “เบี้ยแก้” มีความเชื่อกันว่า หอยเบี้ย เป็นสัญลักษณ์ของเทพเจ้า “หอยทะเล” ที่เรียกว่า “เบี้ย” นี้ ยังได้รับความเคารพจากพวกพราหมณ์ในฐานะสัญลักษณ์แห่ง “ศักติ” อันเป็นลัทธิที่บูชาเทวสตรี เช่น พระลักษมี พระอุมา พระสุรัสวดี หรือที่เรียกกันว่า “ภควจั่น” ซึ่งมาจาก ภควดี หมายถึง อิตถีเพศที่ควรเคารพบูชา
- องค์ประกอบ เบี้ยแก้ ส่วนสำคัญประกอบด้วย หอยเบี้ยแก้ , ปรอท, ชันโรงใต้ดิน, ตะกั่ว, น้ำรักสีดำ,
คาถาเสกเบี้ยแก้
ตั้งนะโม 3 จบ
แล้วให้ตั้งธาตุ
นะ มะ พะ ทะ (๓ จบ)
จะ ภะ กะ สะ (๓ จบ)
เมื่อตั้งธาตุเสร็จแล้ว ให้ภาวนาคาถา ๓ จบ ดังนี้
“ อะสิสะติ ธะนูเจวะ สัพเพเต อาวุธานิจะ ภัคคะ ภัคคา วิจุนนานิ โลมังมาเม นะผุสสันติ ”
…. “สู้ไว้ข้างหน้า ไม่กล้าไว้ข้างหลัง เมตตามหานิยมไว้ขวา กันอาวุธศาสตราไว้ซ้าย แขวนคอ แก้ลมเพลมพัด อัมพาต แขน ขา ปาก คอ หลัง ลิ้นกระด้าง ถอนคุณไสยรูปรอยลงบนใบหมอน คลึงแป้งถอนคุณ คลึงปูนถอนพิษ ถอนเสา ถอนพระภูมิ ศาลเจ้า เจว็ด เสมา กำแพง เสกภาวนา สมุหะเนยยะ สะมุหะนะติ สะมุหะคะโต สีมาคะตัง พันธะเสมายัง สะมุหะนิตัพโพ เอวังเอหิ นะเคลื่อน โมถอน พุทคลอน ธาเคลื่อน ยะเลื่อนหลุดลอย สวาหะ …. ”
- วิธีใช้เบี้ยแก้
ตั้งนะโม ๓ จบ
อิติปิโส ภะคะวา ยาตรายามดี ได้ยามพระศรี สวัสดีลาโภ นะโมพุทธายะ แล้วสวดคาถาหัวใจต่อ อะ สัง วิ สุ โล ปุ สะ พุ ภะ พุท ธะ สัง มิ อิ สะ วา สุ
“เบี้ยแก้” หลวงพ่อเปิ่นวัดบางพระ
แก้ดวงตกชะตาขาด เสริมศิริมงคล
เบี้ยจั่น เบี้ยแก้
เสกธาตุ4เรียกอาการ32 พกติดตัวเสริมเงินทอง
เบี้ยรวม 5 ชนิด
เบี้ยแก้น้ำตาลลาย เบี้ยจั่น เบี้นผู้ เบี้ยแก้ว เบี้ยแก้หลังม่วง
หอยเบี้ย เบี้ยจั่น
เบี้ยจั่นหอยเบี้ยคละไซส์ขายยกถุง