ประวัติศาสตร์มีชีวิต การเมืองไทยในชีวประวัติ
จำได้ว่าครั้งหนึ่ง ในวิชาสังคมศึกษาที่เราเรียนสมัยเด็ก ตำราที่เรียน ก็คือ ตำราที่รุ่นพี่ รุ่นน้า รุ่นอา หรือรุ่นพ่อแม่ ได้ร่ำเรียนสืบต่อๆกันมา บางเรื่องบางราวในหน้าประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ไทยในแง่ของการสร้างอาณาจักรมาตั้งแต่สมัยโบราณ หรือ ประวัติศาสตร์ในแง่ของบุคคลสำคัญของประเทศ ประวัติศาสตร์ศิลป์ หรือ ประวัติศาสตร์การเมืองไทย เมื่อได้ชื่อว่าเป็น ‘ประวัติศาสตร์’ แน่นอนว่า ตัวเราซึ่งเป็นผู้อ่าน ย่อมไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์นั้นๆ หรือมีส่วนเกี่ยวข้อง รับรู้ ได้เห็น ได้ยิน เท่ากับผู้เขียนผู้บอกเล่าทีประสบพบเจอด้วยตนเอง มาขยายความ บอกเล่าสู่กันฟัง
อีกทั้งการเป็น ‘ประวัติศาสตร์’ ที่เกิดจากการบอกเล่า ย่อมไม่มีเพียงบุคคลเดียวที่จะมีส่วนเกี่ยวข้องในเหตุการณ์นั้นๆ โดยส่วนตัวจึงคิดว่า เราไม่สามารถเชื่อมั่นในประวัติศาสตร์จากการบอกเล่าจากบุคคลเพียงแค่คนเดียว หรือแค่บางกลุ่ม แต่ทุกครั้งที่เราอ่านประวัติศาสตร์ เราควรศึกษา หาที่มา และอ่านด้วยการใช้สติ ปัญญาในการวิเคราะห์ หาเหตุและผล วิธีเช่นนี้จึงจะทำให้การศึกษาประวัติศาสตร์ ไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม เป็นเรื่องที่สนุกและน่าติดตามมากขึ้นค่ะ วันนี้ผู้เขียนจึงอยากแนะนำประวัติศาสตร์อีกแง่มุมหนึ่ง ซึ่งเป็นแง่มุมที่น้อยคนนักจะได้รับรู้ เป็นข้อมูลใหม่ มีที่มา ตรวจสอบได้ เพราะมีเอกสาร มีหลักฐานที่ดิฉันเองก็แสดงความจริงใจอย่างชัดเจนในการถ่ายทอดเนื้อหา ประวัติศาสตร์ที่ดิฉันยกมาให้ผู้อ่านได้ทำความรู้จักในครั้งนี้ มาในรูปแบบหนังสือที่ว่าด้วย ประวัติศาสตร์การเมืองไทยในอีกมุมหนึ่ง ที่บางคนอาจจะไม่เคยได้รับรู้มาก่อนค่ะ
ก่อนจะแนะนำหนังสือที่น่าสนใจมากๆ เล่มนี้ ให้คุณผู้อ่านได้รู้จัก ต้องขอออกตัวก่อนว่า การเมืองไทยสำหรับดิฉันนั้น เป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าเบื่อมากในความคิด เพราะมีแต่เรื่องของผลประโยชน์ส่วนตัว หาได้เป็นประโยชน์ส่วนรวมอย่างที่เราๆ คนไทยอยากได้ใคร่มี ประชาธิปไตยอย่างแท้จริง แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นการรู้เรื่องการเมืองไทยบ้าง ก็ทำให้เราได้เห็นมุมมองใหม่ๆ ถึงต้นสายปลายเหตุ ที่มาของการเมืองไทยเช่นในปัจจุบัน ในแง่ของการเขียนเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับการเมือง ดิฉันจึงมีความรู้ไม่มากนัก แต่หากพบเห็นเรื่องราวที่ดีและอยากให้ผู้อ่านได้ติดตาม หาอ่าน เพื่อได้รับความรู้ และเห็นอีกมุมของการเมืองไทยในยุคสมัยหนึ่ง นอกเหนือจากตำราเรียน จึงขออนุญาตมาแนะนำหนังสือที่ชื่อว่า ‘การเมืองไทยในชีวประวัติ’ โดยผู้เขียน หม่อมหลวงชัยนิมิตร นวรัตน ซึ่งเล่มนี้รวบรวมเนื้อหามาจากคอลัมน์ ‘ประวัติศาสตร์มีชีวิต’ ที่ได้รับการตีพิมพ์ลงในนิตยสารสกุลไทย มาก่อน
“การเมืองไทยในชีวประวัติ” เป็นหนังสือที่บอกเล่าเรื่องราวของความจริงที่เกิดขึ้นในช่วงปีพุทธศักราช ๒๔๗๕–๒๔๘๒ ซึ่งหม่อมหลวงชัยนิมิตร นวรัตน ได้เกริ่นนำถึงชีวประวัติครอบครัวของท่าน
“ชีวิตที่ลิขิตไว้” เรื่องราวของชีวิต หม่อมราชวงศ์นิมิตรมงคล นวรัตน และคุณหญิงบรรจบพันธุ์ นวรัตน ณ อยุธยา บิดามารดาของท่าน ซึ่งมากความสามารถในวงวรรณกรรม เจ้าของเรื่อง เมืองนิมิตร ๑ ใน ๑๐๐ หนังสือที่คนไทยควรอ่าน ทั้งบิดา และมารดาของหม่อมหลวงชัยนิมิตร เป็นบุคคลตัวอย่างที่น่าสนใจ ในแง่ของความคิด ความมุ่งมั่น การประพฤติตน ดำรงตนและตั้งมั่นในการทำงานด้วยความซื่อสัตย์ และเปี่ยมไปด้วยคุณธรรม จริยธรรมในการดำรงชีวิต เป็นตัวอย่างบุคคลที่น่ายกย่องอย่างแท้จริง อีกทั้งยังทำให้เราได้เห็นภาพบรรยากาศสังคมในช่วงเวลานั้น สังคมเมืองหลวงที่ได้ชื่อ กรุงเทพมหานคร ในภาพที่น่าจดจำ เมืองที่สงบ การจราจรไม่วิกฤติเช่นปัจจุบัน สภาพแวดล้อมที่ร่มรื่น มีบริเวณบ้าน มีสวน เป็นบรรยากาศอดีตที่งดงามและเหลือเพียงแค่ความทรงจำเท่านั้น ….. หม่อมหลวงชัยนิมิตร กล่าวถึงความเป็นอยู่ ชีวิตของท่านเองในวัยเด็ก ชีวิตของหม่อมราชวงศ์นิมิตรมงคล ผู้เป็นบิดา ที่ผ่านมรสุมทางการเมือง จนแทบเอาชีวิตไม่รอด การตกเป็นเหยื่อทางการเมืองที่ยากจะหลีกเลี่ยง ความอยุติธรรมที่หาได้ยากยิ่งกว่าการงมเข็มในมหาสมุทร ซึ่งดิฉันมั่นใจว่า มีผู้อ่านหลายๆท่าน อาจจะไม่เคยรับรู้ถึงสถานการณ์ช่วงการเปลียนแปลงการปกครองในปีพุทธศักราช ๒๔๗๕ ที่มีทั้งเงื่อนงำ กลยุทธิที่ซับซ้อน ตัวละครที่มีตัวตนจริงๆ เหยื่อทางการเมือง ผู้บริสุทธิ์ที่ไม่มีส่วนรู้เห็น แต่ต้องจบชีวิตไปโดยไม่สามารถเรียกร้องความยุติธรรมกับใครได้อีกเลย จนกระทั่งทุกวันนี้ เรื่องราวเหล่านี้ก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่ทราบ
“ชะตากรรมของพระยาทรงสุรเดช หนึ่งในสี่เสือคณะราษฎร”
คือชีวประวัติของเสนาธิการผู้วางแผนยึดอำนาจรัฐเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี ๒๔๗๕ โดยไม่ให้มีการเสียชีวิตเลือดเนื้อ ได้รับผลสำเร็จอย่างเหลือเชื่อ แต่ท่านก็ต้องมาพ่ายแพ้ในเกมการเมืองภายในระหว่างผู้ก่อการคณะราษฎรด้วยกันเอง ยังให้เกิดกบฏพระยาทรง ที่ถึงแม้จะไม่มีปฏิบัติการใดๆเลย แต่รัฐบาลก็กระทำการกวาดล้างอย่างรุนแรงแบบเหวี่ยงแห โดยไม่คำนึงถึงบาปกรรมที่กระทำต่อผู้บริสุทธิ์
เนื้อหาในเล่มกว่าครึ่งเล่มจึงเป็นเรื่องราวทางการเมืองไทยที่พูดถึงบุคคลในประวัติศาสตร์ที่มีความเกี่ยวข้องกับคณะบุคคลที่ทำการมิบังควร จาบจ้วง อย่างไม่น่าให้อภัย การขัดแย้งกันเองในกลุ่มคณะเปลี่ยนแปลงการปกครอง การใส่ร้ายป้ายสี การปั้นน้ำเป็นตัว การชิงอำนาจ และเหตุการณ์ทางการเมืองที่สำคัญ ทั้งกบฎบวรเดช กบฎนายสิบ กบฎแมนฮัตตัน คณะกู้บ้านกู้เมือง หรือคณะราษฎรที่ทำการปฎิวัติ เปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง และเหตุการณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวพันกันกับบุคคลจำนวนมากที่ถูกเอ่ยถึง
‘การเมืองไทยในชีวประวัติ’ จึงเป็นเรื่องราวอีกแง่มุมที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึง ซึ่งต้องยอมรับด้วยความสัจจริงที่ว่า บางเรื่องราว ดิฉันเองก็ไม่เคยรับทราบมาก่อน !! เพราะในตำราที่เรียนมาตั้งแต่เด็กนั้น เหมือนจะบอกกล่าว ยกย่องและสรรเสริญในความดีงามของการเปลี่ยนแปลงการปกครองแต่แง่มุมเดียว ทั้งที่แท้จริงแล้ว มันเปรอะเปื้อนและอัปยศอดสูในความรู้สึกมากกว่า จนทำให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นว่า ทำไมประชาธิปไตยของบ้านเราจากอดีตจนเห็นได้เด่นชันในปัจจุบัน ถึงได้พิกลพิการถึงเพียงนี้ !!!
ดิฉันจำได้ดี และเคยอ่านหนังสือจากเหตุการณ์บอกเล่าของผู้ประสบเหตุการณ์ด้วยตนเอง อีกทั้งเรื่องราวบักทึกทางประวัติศาสตร์ ,กระแสพระราชดำรัสที่กล่าวถึงระบอบประชาธิปไตยแบบที่ฝรั่งเขาเรียกว่า Democracy นอกเหนือตำราเรียนหลายๆเล่ม ซึ่งกล่าวถึงตรงกันทั้งสิ้นว่า ตั้งแต่ล้นเกล้ารัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เคยรับสั่งเรื่องการให้ความรู้ การศึกษาแก่ประชาชนเป็นหลักก่อน ด้วยพระองค์เองก็ทรงเล็งเห็นถึงความดีงามในระบอบนี้ แต่พสกนิกรไทยยังขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้อย่างสิ้นเชิง จึงเล็งเห็นถึงการให้การศึกษาก่อนเป็นสำคัญ จนกระทั่งรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ทรงได้สร้างเมืองจำลองดุสิตธานีขึ้น ก็เพื่อเป็นการทดลองระบอบประชาธิปไตยให้เห็นจริงๆ ว่ามีข้อดี ข้อเสีย ปรับเปลี่ยนแก้ไขให้เข้ากับบ้านเมืองได้อย่างไร พระองค์ใช้พื้นที่วังพญาไท ซึ่งเป็นที่ประทับของพระองค์ในการทดลอง ทั้งนี้ก็เพื่อให้มั่นใจว่า พสกนิกรของพระองค์จะได้มีความเข้าใจรูปแบบประชาธิปไตยที่ถูกต้องแท้จริง
แล้วก็ถูกฉวยโอกาส ชิงสุกก่อนห่าม โดยกลุ่มคณะหนึ่ง !!!
มาจนถึงในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ พระองค์เองมีความตั้งพระทัยจะมอบระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยให้พสกนิกร แต่มิทันไร ก็เกิดเหตุการณ์ปล้นพระราชอำนาจ อย่างที่ผู้อ่านทุกท่านได้ร่ำเรียน อ่านประวัติศาสตร์กันมา เป็นการปล้นอำนาจที่ดิฉันเคยได้อ่านและรับรู้เรื่องราวจากหม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ในหนังสือเล่มที่มีชื่อว่า ‘สิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็น’ ซึ่งมีเรื่องราวที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้น และเกี่ยวพันกับการกระทำการอุกอาจเพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตย ทั้งที่ไม่รู้ว่าหน้าตาหรือความหมายของระบอบการเมืองแบบประชาธิปไตยที่แท้จริงว่าเป็นอย่างไร
การอ่านเรื่องราวที่หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย บรรยายไว้ในเล่ม นับได้ว่าสะเทือนใจ และหดหู่กับการกระทำของผู้ก่อการแล้ว แต่นั่นยังไม่ลงลึกเท่า กับเรื่องราวในหนังสือเล่มที่ดิฉันได้แนะนำคุณผู้อ่านได้รู้จักเล่มนี้ เพราะในเล่ม กล่าวถึงบุคคลชัดเจน แถมยังมีเนื้อหารายละเอียด คำให้การในศาล ขั้นตอน วิธีการการวางแผนและลงมือ อำนาจที่หอมหวานมักทำให้คนหน้ามืด ตาบอด และหูหนวกอย่างแท้จริง !! ไม่แม้แต่จะคิดหรือยับยั้งชั่งใจในการกระทำว่าเป็นการริดรอนอำนาจและเสรีภาพของการเป็นประชาธิปไตยตั้งแต่เริ่มต้น
ไม่เพียงแต่รายละเอียดที่แน่น และเนื้อหาที่ไม่เคยอ่านที่ไหนมาก่อน เรื่องราวในเล่มไม่ได้จบแค่วิธีการ หรือขั้นตอนการกระทำรัฐประหารเท่านั้น แต่ยังมีบทสรุปในตอนท้าย ของการพิพากษาชีวิตของผู้ที่เกี่ยวข้อง และแพะอีกหลายตัว โดยที่ความยุติธรรมในช่วงเวลานั้นไม่สามารถให้ความเป็นธรรมกับพวกเขาเหล่านั้นได้เลย จากบทสรุปของคำพิพากษา สู่ลานประหาร และบรรยากาศของการประหารชีวิต ที่หม่อมหลวงชัยนิมิตร บรรยาให้เห็นภาพ เสมือนผู้อ่านอย่างเราอยู่ในเหตุการณ์ มันเป็นบรรยากาศที่หดหู่ เศร้าสลดที่สุด ที่สะเทือนใจที่สุด คือ การรับรู้ว่าช่วงเวลาแห่งการเรืองอำนาจของบุคคลบางกลุ่ม เป็นช่วงที่ผู้บริสุทธิ์ไม่สามารถแสวงหาความยุติธรรมให้กับชีวิตตนเอง แม้กระทั่งวินาทีที่วิญญาณหลุดจากร่างได้แม้แต่น้อย
เรื่องราวในเล่มจึงครบถ้วนและเข้มข้น อ่านแล้วเหมือนอ่านนวนิยาย มุ่งให้อ่านง่าย ไม่หนัก แต่นี่คือเรื่องจริง ชีวิตจริงที่เกิดขึ้นในช่วงสมัยที่การเมือง และระบอบประชาธิปไตยกำลังย่างกรายเข้ามาสู่ประเทศไทย โดยที่คนไทยส่วนใหญ่ขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประชาธิปไตยอย่างสิ้นเชิง บทสรุปของอำนาจที่ได้จากการปล้นมา โดยใช้คำสวยหรูว่า “อภิวัฒน์” และความจริงที่ทุกคนในปัจจุบันรับรู้และเห็นด้วยตาตนเอง นั่นคือ การเมืองไทยยังคงเละเทะ เมื่อติดกระดุมผิดเม็ดตั้งแต่แรก ไฉนเลย เราจะสวมเสื้อได้อย่างถูกต้องและเป็นระเบียบ เราปฏิเสธไม่ได้จริงๆว่า การเมืองไทยอันขาดความรู้เรื่องประชาธิปไตยที่แท้จริงในปัจจุบัน มาจากผลพวงของการรีบก่อการ โดยขาดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องของการปกครอบด้วยระบอบดังกล่าว
โปรดอย่าถามกับดิฉันว่า ประชาธิปไตย คืออะไร หากคุณหรือใคร ที่เรียกร้องแต่เสรีภาพ เสรีภาพ เสรีภาพ ความเท่าเทียม บลา บลา แต่หากยังไม่รู้จักคำว่า ‘’หน้าที่’ และ ’ความรับผิดชอบ’ คำว่า ประชาธิปไตย จึงยังอยู่ไกลเกินกว่าจะ ‘เอื้อมถึง’
‘การเมืองไทยในชีวประวัติ’ จึงเป็นข้อเท็จจริงอีกด้านของการเมืองไทยในยุคการเปลี่ยนผ่านที่น่าสนใจ เนื้อหา เรื่องเล่า อ่านแลัวประหนึ่งว่านี่คือ นวนิยาย แต่แท้จริงแล้ว นี่คือ เรื่องจริง ชีวิตจริง บุคคลที่กล่าวถึงมีตัวตนจริง และแพะมีจริง หากคุณผู้อ่านสนใจเรื่องราวทางการเมืองไทย ดิฉันจึงอยากแนะนำให้ลองหาอ่าน ได้ทั้งเกร็ดความรู้ ข้อเท็จจริงอีกมุมที่ในตำราเรียน หรือหนังสือเชิงประวัติศาสตร์การเมืองเล่มอื่นๆ อาจไม่มีระบุถึง อ่านจบแล้ว คุณผู้อ่านจะพบบทสรุปได้ด้วยตัวของท่านเอง แล้วจะเข้าใจอย่างถ่องกับคำว่า ‘ประชาธิปไตย’ ในบ้านเราค่ะ
น่าแปลกใจที่หนังสือเล่มนี้ หาซื้อได้ตามร้านหนังสือทั่วไปได้ยากยิ่ง หากคุณสนใจ สามารถสั่งซื้อโดยตรงกับผู้เขียนได้ที่นี่
“หากเปรียบประชาธิปไตยของไทย ถือกำเนิดมาเป็นทารก ก็คล้ายกับว่าเป็นทารกที่คลอดก่อนเวลาอันควร”