หลายท่านอาจจะแปลกใจว่า น้ำปรุง หรือ น้ำหอมไทย ทำมาจากส่วนผสมอะไรบ้าง ขั้นตอน หรือวิธีทำอย่างไร ทำไมตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน น้ำปรุง ยังคงเป็นน้ำหอมไทย ที่ยังไม่สูญหายไปตามกาลเวลา แต่ยังคงถูกนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน รวมถึงพิธีกรรมทางศาสนาต่างๆ
นั่นอาจจะเป็นเพราะว่า ส่วนผสมและวัตถุดิบหลักในการปรุง ยังสามารถหาได้จากธรรมชาติ หรือแม้แต่ในบ้านเรือนของบางท่าน ที่ชื่นชอบการปลูกพรรณไม้หอม และพืชสมุนไพรต่างๆ ก็สามารถที่จะปรุงเก็บไว้ใช้เองได้เช่นกัน
“น้ำปรุง”หอมจรุงจิตจรุงใจจากอดีต ถึงปัจจุบัน ตอนที่ ๒
ประเทศไทยของเรา ตั้งอยู่ในเขตร้อนชื้น พรรณไม้ไทยมีความหลากหลาย มากมายชนิดให้เลือก ทั้งยังสามารถใช้ประโยชน์ได้ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็น ส่วนของ ดอก ใบ เปลือก ผล แม้แต่ยางไม้ ก็สามารถนำมาสกัดเอากลิ่นหอมได้เช่นกัน อาทิ กลิ่นหอมจากมะลิ สกัดได้จากส่วนดอกมะลิ โดยตรง หรือกลิ่นหอมจากยางไม้ที่ได้จาก ต้นกฤษณา กลิ่นมะกรูด ได้จากผิวมะกรูด เป็นต้น นอกจากแหล่งหอมจากพรรณพืชแล้ว ก็ยังมีแหล่งเครื่องหอมที่ได้มาจากสัตว์ด้วยเช่น อำพัน หรือ ที่เรารู้จักและเรียกกันติดปากว่า มูลของปลาวาฬ และ ต่อมน้ำมันหอมจากชะมดเช็ด …
น้ำปรุงน้ำหอมของไทย จากอดีตถึงปัจจุบัน จึงมีสารพัดกลิ่นให้เลือกทั้งกลิ่นดอกไม้รวม กลิ่นผลไม้ กลิ่นเปลือกไม้หอม กลิ่นดอกไม้ไทย หรือแม้แต่กลิ่นดอกไม้จากต่างประเทศ เพราะในสมัยปัจจุบัน มีวิวัฒนาการที่ทันสมัย ในกรรมวิธีการสกัดกลิ่นดอกไม้ ที่ได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทำให้น้ำปรุงในสมัยปัจจุบันมีกลิ่นให้เลือกหลากหลาย และมีกรรมวิธีในการผลิตก็รวดเร็วมากขึ้นเช่นกัน อย่างไรก็ตาม สำหรับน้ำปรุงแบบไทยแท้แต่โบราณ ก็ยังคงได้รับการสืบสานอยู่ แม้ว่ากรรมวิธีการผลิตจะค่อนข้างซับซ้อนและพิถีพิถัน แต่ทั้งนี้เหตุผลก็เพื่อให้คงคุณภาพของน้ำปรุงที่หอมติดทน และจรุงใจไปทั้งวันค่ะ
อยากจะยกตัวอย่าง กรรมวิธีแบบโบราณที่พิถีพิถันให้ฟังกันสักนิด อาทิ เช่น กระบวนการคัดเลือกดอกไม้สด เพื่อนำมาทำน้ำปรุง จะต้องเลือกเก็บดอกไม้สดในบางช่วงเวลาเท่านั้น เพื่อให้ได้คุณภาพของกลิ่นที่ดีที่สุด วิธีการหมักสำหรับบางแห่งจะใช้เวลาในการหมักน้ำปรุงกันอย่างต่ำ 6-12 เดือน ก่อนที่จะนำไปใช้งาน ทั้งนี้ก็เพื่อให้กลิ่นดอกไม้สดสารพัดสายพันธุ์เข้ากันเป็นอย่างดี และคงคุณภาพของกลิ่นที่ติดทนทาน นอกเหนือจากการคัดพรรณไม้ตามช่วงเวลา รวมถึงระยะเวลาในการหมักน้ำปรุงแล้ว ในการทำน้ำปรุงแต่ละครั้ง วัตถุดิบทุกชนิดจะต้องสะอาด ปราศจากเชื้อ แม้แต่น้ำที่นำมาผสม ควรเป็นน้ำที่ผ่านการต้มสะอาด แล้วเท่านั้นค่ะ ที่สำคัญที่สุด คือ ใบบรรดาดอกไม้สารพัดกลิ่นหอม ควรมีการเปลี่ยนทุกวันนะคะ เพื่อให้คงความหอม ความสด ใหม่ และกลิ่นของดอกไม้ที่ชัดเจนที่สุด สำหรับพรรณไม้ไทยที่ได้รับความนิยมจากอดีตจนถึงปัจจุบัน อาทิ เช่น มะลิ จำปี จำปา กระดังงา พิกุล โมก ดอกแก้ว กุหลาบมอญ ลำเจียก ฯลฯ ในปัจจุบันเมื่อมีพรรณไม้จากต่างประเทศเข้ามา จึงทำให้มีการประยุกต์กลิ่นหอมมากขึ้น และผู้ที่นิยมน้ำปรุง มีโอกาสได้เลือกกลิ่นดอกไม้มากขึ้นเช่นกันค่ะ
GQ กางเกงชิโน ผ้ายืด สีแดง ใส่สบาย น้ำหนักเบา สะท้อนน้ำ เหมาะกับอากาศร้อน สบายจริงๆ สบายจัดๆ
GQ กางเกงชิโน >> คลิ๊ก
น้ำปรุง น้ำหอมของไทย จึงมีที่มาจากวัตถุดิบธรรมชาติ 100% เป็นน้ำหอมที่ไร้สารเคมี สามารถใช้ได้ทุกเพศทุกวัย และไม่ต้องห่วงว่าจะมีการแพ้หรือไม่ เพราะไม่ปรากฎว่าใครใช้น้ำปรุงแล้วมีอาการแพ้ค่ะ ในการเทสต์กลิ่นน้ำปรุง เคล็ดลับอย่างหนึ่งที่อยากจะบอกกล่าว คือ การแตะหรือหยดน้ำปรุงบนผิวของเราค่ะ การดมอย่างเดียว กลิ่นน้ำปรุงจะไม่เด่นชัด หากแต่เมื่อสัมผัสกับร่างกายของเรา กลิ่นจะลงตัวและจรุงใจในทันที ในโอกาสหน้า หากจะซื้อน้ำปรุงก็ให้ลองทดสอบกลิ่นด้วยตัวคุณเองตามวิธีการข้างต้นนะคะ
“น้ำหอมไทย ที่ทรงคุณค่า และคงความเป็นไทย
ลองหันมาอนุรักษ์ และสืบสานภูมิปัญญาไทย
ให้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาที่มีไปชั่วลูกชั่วหลาน”
อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว จึงไม่น่าแปลกใจแล้วใช่หรือไม่คะว่า ทำไมสตรีไทยในอดีต ถึงได้ตัวหอมกรุ่นตลอดเวลา เพราะด้วยภูมิปัญญาที่ฉลาดล้ำของสตรีในอดีต ที่รู้จักสร้างสรรค์น้ำหอมขึ้นใช้เอง และยังเป็นน้ำหอมไทยที่สามารถทำเองได้ทุกครัวเรือน เป็นความหอมจากธรรมชาติที่ติดทนนาน และเป็นความหอมแบบซึมเข้าไปในเครื่องแต่งกาย เพราะสตรีไทยในอดีต รู้จักวิธีการดูแลตนเองเป็นอย่างดี ไม่เพียงแต่ดูแลตนเองด้วยการคิดค้นเครื่องประทินผิว น้าปรุง น้ำอบ และเครื่องหอมไทยนานาชนิดเท่านั้น แต่เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย ยังหอมไปด้วยกลิ่นดอกไม้ไทยนานาพันธุ์ที่เกิดจากการคิดค้นของแต่ละท่านค่ะ
น้ำปรุง เป็นน้ำหอมไทย ที่ทรงคุณค่า และคงความเป็นไทยแท้อย่างครบถ้วนค่ะ ลองหันมาอนุรักษ์ และสืบสานภูมิปัญญาไทยให้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาที่มีไปชั่วลูกชั่วหลาน ด้วยการใช้น้ำปรุง และเครื่องหอมไทยของเรากันนะคะ นอกจากราคาที่ย่อมกว่าน้ำหอมจากต่างประเทศแล้ว เรายังมีส่วนในการร่วมด้วยช่วยกันอนุรักษ์และปกป้องมรดกภูมิปัญญาของสตรีไทยในอดีต ผู้ซึ่งเป็นครู เป็นผู้ถ่ายทอดสิ่งที่ดีและทรงคุณค่าเช่นนี้ ให้ยังคงอยู่ตลอดไป ให้ลูกหลานไทยเชื่อมั่นว่า ภูมิปัญญาไทยไม่เคยเป็นด้อยใครบนโลกใบนี้ ค่ะ ^^