บันทึกทาง ประวัติศาสตร์จีน โดย ซือหม่าเชียน
มหาสุสาน จิ่นซีฮ่องเต้ ตอนที่ ๒
มหาสุสาน โลกอมตะของ อิ๋งเจิ้ง ปฐมจักรพรรดิของจีน จิ่นซีฮ่องเต้ <<
ความเดิมจากตอนที่แล้ว ก่อนที่จะเริ่มต้นเรื่องราวของ มหาสุสาน โลกอมตะของ อิ๋งเจิ้ง ปฐมจักรพรรดิของจีน จิ่นซีฮ่องเต้ ในส่วนของหลุมที่ทางการจีนได้ขุดและเปิดจัดแสดงให้เข้าชมได้ ในตอนนี้ อยากจะให้ผู้อ่านได้รู้จักกับนักประวัติศาสตร์ ผู้บันทึกเรื่องราวอันลึกลับของสุสานจักรพรรดิจิ๋นซีฮ่องเต้กันก่อนค่ะ นักประวัติศาสตร์ผู้นี้คือ ซือหม่าเชียน 司马迁 ผู้เริ่มต้นการบันทึก ประวัติศาสตร์จีน
ซือหม่าเชียน 司马迁 เป็นชาวมณฑลส่านซี บิดาของท่านเป็นขุนนาง และเป็นนักประวัติศาสตร์สมัยราชวงศ์ฮั่น ว่ากันว่า ซือหม่าเชียนเจริญรอยตามบิดาของท่าน ด้วยความเป็นคนที่ช่างสังเกต และขยันเรียนรู้ เมื่อบิดาของท่านถึงแก่กรรม ซือหม่าเชียนก็ได้สืบทอดตำแหน่งและได้ทำงานต่อ จนได้เป็นทั้ง นักประวัติศาสตร์ นักประพันธ์คนสำคัญของราชวงศ์ฮั่น ผู้ริเริ่มบันทึกทางประวัติศาสตร์ หรือ พงศาวดารที่เรียกในภาษาจีนว่า สื่อจี้ เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ทรงคุณค่าอย่างยิ่ง สามารถอ่านแล้วสืบค้นข้อมูลในยุคประวัติศาสตร์จีนเมื่อ ๒,๐๐๐ กว่าปีก่อนได้อย่างน่าสนใจ ซือหม่าเชียนนับเป็นบุคคลทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญและมีคุณูปการต่อวงการศึกษา ค้นคว้า อารยธรรมจีนโบราณอย่างที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องราวบันทึกทางประวัติศาสตร์ในสมัยราชวงศ์ฉิน ซึ่งไม่ได้เกินจริงไปแม้แต่น้อย หากเราเทียบเคียงกับความเป็นไปได้ รวมถึงการพิสูจน์ด้วยเทคโนโลยีของปัจจุบัน
สื่อจี้ หรือ บันทึกทางประวัติศาสตร์ที่ ซือหม่าเชียนได้เขียนขึ้นนั้น มีทั้งหมด ๑๓๐ บท ตัวหนังสือกว่า ๕๐ หมื่นตัว และใช้เวลาในการเขียนถึง ๑๓ ปี
เป็นบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่เขียนขึ้นตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในสังคม ณ เวลานั้นๆ มีทั้งเรื่องของ ขนบประเพณี ธรรมเนียมจีนโบราณ การเมืองจีนในแต่ละยุคสมัย ชีวประวัติบุคคลสำคัญของเจ้าผู้ครองนครแคว้น และราชวงศ์จีน และที่สำคัญคือ เหตุการณ์สำคัญในแต่ละยุคด้วย ซือหม่าเชียนยังเน้นถึงความเป็นอยู่ในภาคประชาชน รวมถึงบันทึกถึงการเคลื่อนไหวของประชาชนในการเรียกร้องความเป็นธรรมต่อองค์จักรพรรดิในยุคต่างๆ
ยิ่งนักโบราณคดีในปัจจุบัน ยิ่งขุดมากเท่าไหร่ ก็พบว่า รายละเอียดที่ ซือหม่าเชียนได้บันทึกไว้ ยิ่งน่าเชื่อถือ และมีความเป็นไปได้มากยิ่งขึ้น !!! แม้ว่าในปัจจุบัน การขุดค้นยังไม่สิ้นสุด และไม่รู้เมื่อไหร่ที่เราจะมีโอกาสได้เห็นสิ่งที่ซือหม่าเชียนบันทึกไว้เกี่ยวกับมหาสุสานขององค์จักรพรรดิ แต่จากการทยอยขุดค้น และตรวจสอบด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัย เช่นการใช้ดาวเทียมสำรวจ ก็ทำให้เห็นว่า มีความเป็นไปได้และตรงกับสิ่งที่ซือหม่าเชียนได้บันทึกไว้จริง แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น ทางการจีนคงต้องรอความเหมาะสมและความพร้อมกว่านี้ เพราะการขุดค้น ก็ย่อมเสี่ยงกับการสูญเสียของสภาพโบราณวัตถุที่ถูกฝังอยู่ใต้ดินมานับพันปี อย่างที่เคยเกริ่นไปในตอนแรกว่า ทหารดินเผาแรกเริ่มมีสีสันสวยงาม แต่เมื่อเจอกับสภาพแวดล้อมภาพนอก จึงทำให้สีของทหารดินเผาอันตรธานหายไปในทันที
หลุมกองทัพทหารจิ๋นซีฮ่องเต้ ที่ขุดพบ ยังมีรูปแบบที่พิเศษและชัดเจนในการวางแนวทัพ เฉกเช่นกับ กองทัพทหารสมัยฉินเมื่อถึงคราวต้องสู้รบและทำสงครามกันจริงๆ ซึ่งการจัดแถวเป็นแนวยาวไปตามสี่เหลี่ยมผืนผ้า สันนิษฐานว่ายึดตามหลักการจัดกองทัพในคัมภีร์ซุนวู คัมภีร์ที่เปรียบเสมือนตำราพิชัยสงครามมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์โจวตะวันออก พลทหารในสุสานที่พบ จึงมีพลทหารธนู ทหารม้า ทหารสื่อสาร ทหารราบ เหล่าอำมาตย์ เหล่าเสนาบดี ผู้บังคับบัญชา ฯลฯ โดยหลุมที่ ๑ ซึ่งเปิดให้สาธารณะชนได้เข้าชม จะเป็นเหล่าทหารราบ พลทหารธนูในแถวหน้าพร้อมอาวุธในมือ หลุมที่ ๑ จากการวัดระยะทางจากสุสานหลักที่คาดว่าเป็นที่ฝังร่างของพระองค์ มีระยะทางราวๆ ๑ กิโลเมตรเศษไปทางตะวันออก มีจำนวนหุ่นทหารดินเผาราวๆ เกือบ ๘,๐๐๐ ตัว
ในส่วนของสุสานหลุมอื่นๆที่เปิดแสดงให้ชมอีก ๒ หลุม เป็นหลุมที่ขุดได้ลึกลงไปอีกราวๆ ๕ เมตร โดยทั้ง ๒ หลุมมีหุ่นทหารระดับแม่ทัพ นายกอง หรือเหล่าเสนาบดี โดยสังเกตจากเครื่องแต่งกาย และถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ แบ่งเป็นห้อง แต่ละห้องมีหุ่นทหารดินเผายืนประจำการไม่มาก และในหลุมที่ ๒ นี้ ไมได้มีพลทหารจำนวนมากเหมือนหลุมที่ ๑ นอกจากนี้ยังพบหุ่นม้าดินเผาที่มีขนาดเล็ก กลาง และเท่าม้าจริง รวมถึงอาวุธเช่น กระบี่ เกอ หัวธนู ฯลฯ
สิ่งน่าสนใจอีกอย่างนอกเหนือจากความแตกต่างของหุ่นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวแล้ว นั่นคือ หุ่นตุ๊กตาทหารดินเผา หรือ แม้แต่อาวุธต่างๆ มีการสลักลงชื่อด้วย นั่นเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่าในสมัยราชวงศ์ฉิน เรื่องความเข้มงวดของกองทัพในเรื่องของกฎหมาย มีความเข้มขลังเป็นอย่างมาก เพราะหากการสร้างหุ่นทหารดินเผาแต่ละตัวไม่สมบูรณ์ ก็อาจจะทำให้การสร้างมหาสุสานของจักรพรรดิจิ๋นซีไม่สมบูรณ์อย่างที่เห็นได้ หากหุ่นทหารดินเผาตัวใด มีความบกพร่อง ไม่สวยงาม เจ้าของผู้ปั้นก็จะได้รับโทษด้วยวิธีต่างๆ และการสลักชื่อลง นอกจากระบุตัวคนสร้างแล้ว ยังสามารถโยงไปถึงผู้เป็นนายได้อีกด้วย
บริเวณพื้นที่โดยรอบมหาสุสานจิ่นซีฮ่องเต้ แม้จะยังไม่สามารถขุคค้นได้ทั้งหมด แต่สิ่งที่ค้นพบได้ ไม่ได้ต่างไปจากงานเขียนทางประวัติศาสตร์ ของนักประวัติศาสตร์คนสำคัญในสมัยราชวงศ์ฮั่น ซือหม่าเชียน ที่ได้บันทึกเอาไว้ ยิ่งทำให้ความอยากรู้อยากเห็นของนักโบราณคดีจีนเพิ่มพูนมากขึ้น
เพราะบันทึกของซือหม่าเชียนยังกล่าวถึงรายละเอียด
ของมหาสุสานขององค์จักรพรรดิเพิ่มเติม
โดยเฉพาะในส่วนของที่ฝังร่างขององค์จักรพรรดิ !!!
ตามบันทึกและจดหมายเหตุต่างๆ ได้ระบุไว้ว่า บริเวณที่ฝังร่างพระองค์ คือใจกลางของมหาสุสานทั้งหมด มีลักษณะเป็นปิระมิด ความสูงลดหลั่นถึง ๙ ชั้น การสร้างปิระมิดเพื่อฝากชีวิตไว้ในโลกหลังความตายมีความสูงตั้งแต่ยอดปิระมิดจนถึงฐานชั้นร่างสุดที่ทรงฝากร่างไว้ราว ๕๐ เมตร และการสร้างไว้ในจุดศูนย์กลางของมหาสุสานขนาดสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่นี้ยังสะท้อนถึงความเชื่อในเรื่องการเป็นศูนย์กลางแห่งจักรวาลทั้งปวง ชาวจีนมีความเชื่อว่าจักรพรรดิ คือ โอรสแห่งสวรรค์ ไม่ว่าจะใต้พิภพ หรือใต้ท้องฟ้า ทุกพื้นที่มีองค์จักรพรรดิเป็นเจ้าของ แม้แต่ชีวิตของราษฎรก็เช่นกัน การสร้างมหาสุสานแห่งนี้จึงมีนัยในเรื่องของดวงดาราและศาสตร์จักรวาล เฉกเช่นเดียวกับการสร้างพระราชวังที่ประทับ ก็ยึดหลักตามโหราศาสตร์จีนโบราณเช่นกัน
จักรพรรดิจิ๋นซี ทรงปรารถนาและมีความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่าจะทรงเป็นอมตะ จึงทรงเสาะแสวงหายาอายุวัฒนะทั่วราชอาณาจักร เพื่อให้ทรงมีชีวิตอยู่อย่างเป็นอมตะ และเมื่อยังไม่สามารถหายาอายุวัฒนะได้ ก็ไม่แปลกที่พระองค์จะเตรียมทุกอย่างเพื่อให้ชีวิตหลังความตายมีความมั่งคั่งและยังทรงไว้ซึ่งอำนาจไม่มีผู้ใดเทียบได้ มหาสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ จึงเปรียบเสมือนพระราชวังของพระองค์ในโลกหลังความตายนั่นเอง ซึ่งก็ไม่แปลก หากพระองค์จะทรงสร้างพระราชวังใต้พิภพอย่างยิ่งใหญ่ ที่แวดล้อมไปด้วยทรัพย์ศฤงคาร และรวมไปถึงบรรดาข้าราชบริพาร นางสนม นักดนตรี นักกายกรรม เพื่อความบันเทิงและอืนๆ อื่นมากมาย
จากบันทึกของซือหม่าเชียน ได้ระบุไว้ว่าในบริเวณสุสานของพระองค์นั้น แวดล้อมไปด้วยกลไกสารพัดอย่าง เพื่อป้องกันมิให้ใครบุกรุกและทำลาย มีจดหมายเหตุระบุไว้ถึงการสร้างมหาสุสานเมื่อเสร็จสิ้นสมบูรณ์ว่า ได้ทำการปิดประตูทุกทางเข้า-ออก ของมหาสุสานไว้ทั้งสิ้น รวมถึงการจบชีวิตของเหล่าทหาร ชาวบ้านที่เกณฑ์มาสร้างทั้งหมดไว้ในนั้น นี่เป็นความลับสุดยอดขององค์มหาจักรพรรดิที่ไม่ทรงปรารถนาให้ผู้ใดรู้แม้แต่น้อยว่าทางเข้า-ออก ของมหาสุสานแห่งนี้อยู่ที่ใด และแน่นอนว่าในปัจจุบันนี้ แม้จะมีเครื่องมือทางเทคโนโลยีที่ทันสมัย แต่ก็ยังไม่สามารถใช้เพื่อการค้นหามหาสุสานของพระองค์ที่ทรงคิดค้นกลไกเข้า-ออก ไว้เมื่อ ๒,๐๐๐ กว่าปีมาแล้ว
ซือหม่าเชียนยังระบุไว้อีกว่า กลไกที่ว่ามีลักษณะคล้ายเชือกที่วางกั้นทางเข้า-ออก ทั้งหมด หากผู้ใดที่คิดล่วงเกิน คิดลักขโมย แม้จะผ่านเข้าไปได้ถึงทางเข้า แต่หากติดกับกลไกเหล่านี้ ผู้ละเมิดล่วงเกินองค์จักรพรรดิจะถูกสังหารในทันที
นอกเหนือจากนี้ในบริเวณของสุสานส่วนพระองค์ยังเต็มไปด้วยสารปรอทที่มีค่าเกินมาตรฐาน และเป็นภัยต่อสิ่งมีชีวิตเป็นอย่างยิ่ง นักโบราณคดี และนักวิทยาศาสตร์จีนได้ทดลองวัดค่าปรอทตามที่บันทึกของซือหม่าเชียนระบุไว้ ซึ่งพบว่ามีค่าสูงเป็นอย่างมาก และจากการใช้ดาวเทียมในการตรวจสอบ ยังพบโครงกระดูกมนุษย์เป็นจำนวนมากภายใต้มหาสุสานแห่งนี้ หรือนี่จะเป็นบรรดาราษฎรที่จักรพรรดิจิ๋นซีทรงเกณฑ์มาเพื่อสร้างสุสาน จากจำนวนที่บันทึกไว้กล่าวว่ามีการเกณฑ์แรงงานถึง ๗ แสนคน และการค้นพบดังกล่าวก็มีส่วนเป็นจริงตามที่บันทึกกล่าวไว้ทุกประการ ทางการจีนจึงได้แต่เฝ้ารอจนกว่าเมื่อมีเทคโนโลยีในการขุดค้นที่เหมาะสมกว่านี้ จึงจะลงมือในการค้นหามหาสุสานส่วนพระองค์
การคิดค้นกลไกในการป้องกันผู้บุกรุกสุสานส่วนพระองค์ นั่นเป็นเพราะมหาสุสานเหล่านี้ เปรียบเสมือนพระราชวังส่วนพระองค์ เมื่อครั้งจักรพรรดิจิ๋นซียังคงมีพระชนม์ชีพ ทรงสร้างพระราชวังใหญ่โตเช่น พระราชวังอาฝางกง อย่างไร เมื่อทรงสวรรคตแล้ว ที่ประทับสุดท้ายจึงย่อมใหญ่โตโอ่อ่าไม่แพ้กัน ซึ่งแน่นอนว่าจะทรงฝังทรัพย์สมบัติส่วนพระองค์จำนวนมากมายมหาศาลลงไปด้วย มีการวิเคราะห์และสร้างภาพจำลองถึงมหาสุสานของพระองค์จากบันทึกสื่อจี้ ของซือหม่าเชียนไว้ว่า มหาสุสานของพระองค์มีกำแพงล้อมรอบ รูปแบบเดียวกับพระราชวังจีนอันโอ่อ่า ทรงสั่งให้สร้างโลงทองเหลืองสำหรับบรรจุร่างของพระองค์ และประดิษฐานอยู่บนบัลลังก์ที่ทำจากทองคำแท้
ที่ประทับของพระองค์ที่สุดท้ายจะอยู่ตรงกลางของมหาสุสาน ซึ่งมีลักษณะคล้ายปิรามิดมีความสูงราว ๙ ชั้น ลดหลั่นลงมา และอยู่ลึกลงไปราว ๓๐ กว่าเมตร และด้วยความเชื่อมั่นว่าจักรพรรดิจิ๋นซีทรงเป็นโอรสแห่งสวรรค์ เป็นจุดศูนย์กลางของจักรวาลแห่งนี้ ทรงโปรดให้เกณฑ์แรงงานขุดร่องน้ำโดยรอบที่ประทับของพระองค์ เสมือนนทีสีทันดรที่โอบล้อมเขาพระสุเมรุ และทรงให้ใช้สารปรอทแทนกระแสน้ำที่ไหลหมุนเวียนรอบร่างของพระองค์ด้วยเทคนิคพิเศษ ซึ่งปรอทสามารถรักษาสภาพศพได้ เมือครั้งจักรพรรดิจิ๋นซีทรงมีชีวิต ทรงกินปรอทเพราะด้วยเชื่อว่าเป็นยาอายุวัฒนะอีกด้วย [นอกจากนั้นแล้วบนเพดานยังตกแต่งไปด้วย อัญมณี ไข่มุก เพชรนิลจินดา เปรียบเสมือนหมู่ดวงดาว จันทรา และพระอาทิตย์ในจักรวาล ในมหาสุสานที่ประทับจึงสว่างไสวตลอดเวลา ด้วยการใช้ไขปลาวาฬจุดไฟให้สวยงาม ส่องสว่างไม่มีวันดับ
การขุดค้นมหาสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ อาจจะต้องใช้ระยะเวลายาวนาน เพื่อพิสูจน์คำกล่าวของซือหม่าเชียนว่าถูกต้องตามบันทึกทุกประการหรือไม่ ซึ่งก็คาดการณ์ไม่ได้เลยว่าเมื่อไหร่เราจึงจะได้พิสูจน์ข้อเท็จจริงดังกล่าว หากวิทยาการ เทคโนโลยีในการรักษาสภาพของสุสานจักรพรรดิจิ๋นซียังไม่ชัดเจน นั่นหมายความว่า การขุดค้นมหาสุสานแห่งนี้ต่อไปเรื่อยๆ ย่อมมีความเสี่ยงที่จะทำให้มหาสุสานมีปัญหา รวมถึงโบราณวัตถุ และสิ่งของมีค่ามากมายที่อยู่ภายในอาจจะชำรุดทรุดโทรมหรือเสียหายลงในทันทีที่เจอกับสภาพอากาศภายนอก และถึงแม้จะยังไม่สามารถเข้าถึงใจกลางของมหาสุสานแห่งนี้ได้ ทางการจีนก็ได้ขุด และสำรวจบริเวณโดยรอบอยู่เสมอ และขุดพบโบราณวัตถุมากคุณค่าหลายชิ้น รวมถึงรถม้าสำริดที่ประดับไปด้วยเงิน ทองคำ รวมน้ำหนักราวๆ กว่า ๑๕ กิโลกรัม และการขุดค้นทุกครั้งยังชวนให้นักโบราณคดีวัตถุตื่นตะลึงไปกับสิ่งที่เจออย่างไม่มีวันจบสิ้น
ในตอนหน้า จะขอแนะนำโบราณวัตถุชิ้นเยี่ยมที่ทางกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ได้ ประสานงานกับทางหน่วยงานทางรัฐบาลจีน ในการจัดแสดงโบราณวัตถุชิ้นเยี่ยมจากสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ ณ เมืองซีอาน รวมถึงโบราณวัตถุชิ้นมาสเตอร์พีซในช่วงรัชสมัยราชวงศ์โจวตะวันออก และราชวงศ์ฮั่น มาจัดแสดงเป็นครั้งแรกในประเทศไทย โปรดติดตามกันค่ะ ^^
อ้างอิง:
Wikipedia: ซือหม่าเชียน
https://th.wikipedia.org/wiki/ซือหม่า_เชียน
http://baike.baidu.com/view/3055.htm
แนะนำหนังสือ ประวัติศาสตร์ จีน